ผมเคยร่วมทำงานกับชมรมผู้สูงอายุ หรือชมรมข้าราชการบำนาญ เห็นภาพแล้วดูดี มีคุณค่า คลังมันสมอง จากตำแหน่งสูงสุด ยศนายพลเอก ผู้ว่าราชการจังหวัด รอง ผวจ.ตำรวจ นายอำเภอ ครู ทหาร ข้าราชการพลเรือน คุยกันถึงความหลัง “คนแก่” “มักจะชอบของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง หนังตาเหี่ยว เยี่ยวรดหัวแม่เท้าตนเอง”
วันที่ 30 กันยายน เวลา 24.00 น.คือการสิ้นสุดของการเป็นข้าราชการ…..จากฟ้า จากดาว สู่ดิน..คืนหัวโขน ยศฐาบันดาศักดิ์…เหลือไว้เพียงความทรงจำ…
ข้าราชการเกษียณทั้งหลาย… “อย่าคิดค้าขาย อย่าหมายเลือกตั้ง อย่างหวังเงินส่วย อย่าคิดรวยทางลัด เข้าวัดฟังธรรม เถอะครับ” …..หลายคนล้มเหลวเพราะการเมือง…เกษียณอายุราชการ มาลงเลือกตั้ง…ทำนองไม่เชื่อ “ใคร”…โบราณสอนไม่เชื่อ… “ที่ว่า…อยากยากให้เป็นนาย อยากซำบายให้เป็นลูกน้อง อยากจองหองให้เฮียนกฎหมาย อยากฉิบหายให้เล่นการเมือง”…อยากรุ่งเรืองให้ถือศีลห้า…แต่บางคนไปฉิบหายเพราะเรื่องนี้…อยากยากให้เป็นนายคน อยากสาระวน ให้มีเมียน้อย อยากถูกป้อยให้ไปขี้ใส่สวนคนเขา หรือไปขี้ใส่หนทาง(ถนน)…ตอนเริ่มต้นรับราชการอยู่กินกับเมียบังเกิดเกล้า…พอตำแหน่งใหญ่โต…ไปอยู่กินกับเลขาหน้าห้องบ้าง..เพื่อนต่างวัยที่เรียกว่า “กิ๊ก”…สุดท้ายถึงวันมอดม้วยมรณังสังขารา….หาเจ้าภาพฌาปณกิจศพไม่ได้… พิธีกรงานศพ..อ่านประวัติผู้วายชนม์ อ่านไปอมยิ้มไป…คนดี 4 โมงเย็น..ก่อนทอดผ้ามหาบังสุกุล..เพราะมันขัดหรือมันฝืนต่อความรู้สึกจริงๆพับผ่าซิ
เริ่มต้นรับราชการพร้อมกัน การศึกษาเท่าหรือต่างกัน อายุมากน้อยต่างกัน แต่จุดจบไม่เหมือนกันเมื่อครบ 60 ปีบริบูรณ์ สุดท้ายคืนสู่สามัญชน เครื่องแบบข้าราชการ ที่ทุกท่านภาคภูมิใจ ถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ไม่มีวันที่จะได้สวมใส่อีกเลย นอกจากลูกหลานที่เห็นว่าท่านรักท่านชอบ “เขาจะสวมให้ท่านตอนที่ไม่มีลมหายใจ” พิธีกรงานกล่าวว่า…ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเพียงแต่ต้นทุนบุญกุศล ทิ้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน แม้แต่ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ….. ตอนเจ้ามามีอะไรมาด้วยเจ้า ใยมัวเมาโลภลาภทำบาปใหญ่ มามือเปล่าแล้วเจ้าเอาอะไร เจ้าจงไปมือเปล่าเหมือเจ้ามา….
“สุดแสนเสียดายเมื่อตายใช้เงินยังไม่หมด สุดแสนรันทดใช้เงินหมดแต่ยังไม่ตาย” ต้องดูสังขารและวัยของตนเองด้วย จะรับบำเหน็จหรือบำนาญ บางคน 3 วันเสียชีวิต ลูกเมียได้แต่บ่นตามหลังว่า “เอาบำนาญไม่ดูสังขารตนเอง” บางคนเอาบำเหน็จ เงินก้อนโต ใช้เงินหมดตั้งแต่ปีแรก แต่มีอายุยืนแบบเฒ่าขี้โรคไปถึง 90-100 ปี ลูกหลานก็แช่งชักหักกระดูกอีกนั่นแล เป็นอดีตข้าราชการที่ไร้คุณภาพ เป็นภาระของสังคม…..
ท่านปิยะ โสนะชัย ข้าราชการบำนาญ ท่านเสียชีวิตวัย 94 ปี ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อเกษียณอายุราชการ คืนความสุขให้ตนเอง เข้าวัดฟังธรรม อย่าเป็นคนรู้มาก ฟังให้มาก ปล่อยวาง เป็นปุถุชนคนหนึ่ง “คนหนุ่มสาวมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง คนแก่คนชรามองกับคืนข้างหลังด้วยความเสียดาย” ก่อนเกษียณต้องเตรียมตัว เตรียมใจ เกษียณอายุราชการในบ้านพักหลวง ลำบากแน่ หากไม่เตรียมใจ วันแรกที่หมดอำนาจวาสนา บารมี มันคือความทุกข์ที่สุดในโลก ข้าทาสบริวารหายไปหมด…..
“ อย่าเอาเงินอนาคตมาใช้ให้มากนัก เงินกู้สหกรณ์ ธนาคาร เครื่องประดับ เครื่องอำนวยความสะดวก บัตรเคดิต มันคือทางวิบัติ สิ่งที่ควรปฏิบัติคือการถือศีลห้า โดยเฉพาะข้อสุดท้าย คือการดื่มสุรา เป็นที่มาของ การผิดศีลข้อ 1.การฆ่าสัตว์ 2.การลักทรัพย์ 3.การพูดเท็จ 4.การประพฤติผิดในกาม เพราะเหล้าเข้าปากความยากบ่มี เงินกะหลายกฎหมายกะฮู้ ข้าวอยู่เล้าเต็มล้นอั่งสาง ความกล้าหาญสูง แต่การครองสติมันต่ำ ผิดศีลข้อ 5 จึงเป็นที่มาของการทำผิดข้อ 1-4….จงเตรียมตัว เตรียมความพร้อม ทั้งร่างกาย ข้าราชการที่จิตใจดีจิตใจงดงาม เมื่อวัยเกษียณลูกน้องเดินทางมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ “ข้าราชการ” ที่เป็นเจ้านายแบบบ้าอำนาจ ขาดสังคม ข่มผู้น้อย คอยจับผิด คิดแต่ประจบ คบแต่เศรษฐี เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เจ้านายแบบนั้นลูกน้องไม่หันหน้าไปมอง พบที่ตลาดยังเดินชนจังๆกะให้ล้มใส่หม้อน้ำมันทอดปลาตั้งโก๋ด้วยซ้ำ “ข้าราชการที่มีธรรมในหัวใจจะมีคนรักจนวันตาย” คนดีดูที่การกระทำ ผู้นำดูที่การเสียสละ กินให้น้อย ทำงานให้มาก ที่เหลือ จุลเจือสังคม
///วัชรินทร์ เขจรวงศ์ รายงาน
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ " เกษียณราชการอย่างมีคุณค่าของคนวัยใกล้ฝั่ง วัยนั่งใกล้ห้วย "